การบำรุงดูแลรักษา(สำหรับผู้ที่มีเวลา)
![]() |
หมั่นตรวจดูระดับน้ำกลั่น อย่าให้ต่ำกว่าระดับ LOWER LEVEL เพราะอายุการใช้งานจะสั้น (ห้ามเติมน้ำกรดโดยเด็ดขาด) |
![]() |
ขันขั้วแบตเตอรี่ให้แน่น เพื่อกระแสไฟเดินได้ดี สะดวก |
![]() |
ทำความสะอาดที่ติดตามขั้วแบตเตอรี่และพื้นผิว อันเกิดจากการใช้งาน |
![]() |
ตรวจสภาพภายนอก ให้ยึดแน่นบนแท่นวาง |
การถอดและการติดตั้ง(สำหรับตัวแทนร้านค้า) |
![]() |
ปิดสวิทซ์อุปกรณ์ใช้ไฟทุกจุด |
![]() |
ถอดขั้วลบ (-) ก่อนเสมอแล้วจึงถอดขั้วบวก (+) ต่อไป |
![]() |
ถอดชุดเหล็กรัดแบตเตอรี่เพื่อนำแบตเตอรี่ออก ระวังอย่าให้เครื่องมือถูกขั้วทั้งสอง และยกแบตเตอรี่ออก ระวังน้ำกรดหก |
![]() |
การติดตั้ง ให้ใส่ชุดเหล็กรัดแบตเตอรี่ก่อน ขันยึดให้แน่นหลังจากได้ทดสอบแบตเตอรี่แล้ว |
![]() |
ใส่ขั้วบวก (+) ก่อนเสมอแล้วจึงใส่ขั้วลบ (-) ต่อไป |
เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานแบตเตอรี่ |
1. ป้องกันการระเบิดและลัดวงจร | ![]() |
2. ก่อนทำการอัดไฟ จะต้องเดินเครื่องยนต์ | ![]() |
3. ให้ปลดเครื่องอัดไฟ ก่อนทุกครั้ง เมื่อจะทำการตรวจวัดไฟแบตเตอรี่ |
![]() |
4. ล้างมือด้วยน้ำให้สะอาดทุกครั้ง หลังจากถอด หรือติดตั้งแบตเตอรี่ |
![]() |
:: วิธีการถอดและติดตั้งแบตเตอรี่ | |
1. การถอด ให้ถอดขั้ว (-) ลบ ออกก่อนทุกครั้ง | ![]() |
2. การติดตั้ง ให้ใส่ขั้ว (+) บวก ก่อนทุกครั้ง | ![]() |
การพ่วงต่อแบตเตอรี่ (ด้วยสายพ่วง) |
|
1. การต่อสายไฟเข้า (ดูรูป) 1.1 ต่อขั้ว (+) บวก ตามหมายเลข (1) และ (2) 1.2 ต่อขั้ว (-) ลบ ไปยังเสื้อสูบรถยนต์ ตามหมายเลข (3) และ (4) |
![]() |
2. การถอดสายไฟออก (ดูรูป) 2.1 ถอดขั้ว (-) ลบ ตามหมายเลข (1) และ (2) 2.2 ถอดขั้ว (+) บวก ตามหมายเลข (3) และ (4) |
![]() |
การดูแลแบตเตอรี่รถยนต์ ให้ถูกวิธีจะช่วยให้เราใช้งานแบตเตอรี่ได้คุ้มค่าที่สุด ด้วยวิธีการง่ายๆ ดังนี้
1. ตรวจสอบสภาพของแบตเตอรี่รถยนต์ี่เสมอ อย่าให้มีรอยแตกร้าว เพราะจะทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ไม่เก็บประจุไฟฟ้า
2. ดูแลขั้วแบตเตอรี่ให้สะอาดเสมอ ถ้ามีคราบเกลือเกิดขึ้น ให้ทำความสะอาด ง่ายที่สุดคือใช้น้ำร้อนราด
3. ตรวจสภาพของระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่รถยนต์ทุกๆ 1 สัปดาห์
4. ตรวจเช็กระบบไฟชาร์จของอัลเตอร์เนเตอร์ ว่าระบบไฟชาร์จต่ำหรือสูงไป ถ้าต่ำไป จะมีผลทำให้กำลังไฟไม่พอใช้ในขณะสตาร์ตเครื่องยนต์ หรือถ้าสูงไปจะทำให้ น้ำกรดและน้ำกลั่นอยู่ภายในระเหยเร็วหรือเดือดเร็วได้ ในช่วงเวลาเดียวกัน
5. ช่วงที่มีอากาศหนาวหรืออุณหภูมิต่ำ ประสิทธิภาพการแพร่กระจาย ของน้ำกรด และน้ำกลั่นจะด้อยลงเพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้กระแสไฟมากๆ ขณะอากาศเย็น
6. ควรศึกษาถึงการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ให้เหมาะสมกับแบตเตอรี่รถยนต์และไดชาร์จ เพื่อที่จะให้วงจรการไหลของไฟฟ้าเป็นไปด้วยดี
7. ควรเติมน้ำกลั่นให้ได้ตามระดับที่กำหนด ไม่ควรเติมต่ำหรือสูงเกินไป
การติดตั้งแบตเตอรี่รถยนต์ใหม่
บางครั้ง หากมีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถยนต์เพิ่ม แบตเตอรรถยนต์ี่ก็ควรถูกปรับเปลี่ยนความจุให้มีมากขึ้นด้วย
ซึ่งหากมีการติดตั้งแบตเตอรี่ใหม่ในยานพาหนะ ควรปฏิบัติดังนี้
1. สังเกตว่าแบตเตอรี่รถยนต์ใหม่ ซึ่งจะใช้ติดรถ อยู่ในสภาพไฟเต็ม
2. ควรบันทึกวันที่เริ่มใช้แบตเตอรี่รถยนต์ใหม่ ไว้เพื่อการตรวจสอบสภาพเป็นช่วงๆ
3. ยึดแบตเตอรี่รถยนต์และแท่นวางแบตเตอรี่รถยนต์ให้แน่น ไม่เคลื่อนไหว
4. ถ้าแบตเตอรี่รถยนต์มีท่อยาวระบายอากาศ อย่าให้ท่อระบายอากาศถูกกดทับเพราะอาจทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ระเบิดได้
5. ใส่ขั้วไฟก่อน (อาจเป็นขั้วบวกหรือขั้วลบก็แล้วแต่ชนิดของรถ) ก่อนใส่
ควรขยายขั้วสวมให้โตกว่าขั้วแบตเตอรี่รถยนต์เล็กน้อย ห้ามตอกขั้วต่ออัดลงไปเพราะจะทำให้ขั้วแบตเตอรี่รถยนต์ี่ทรุดตัว
แบตเตอรี่อาจเสียหายได้
6. เมื่อต่อขั้วเรียบร้อย ทาขั้วด้วยจารบี หรือวาสลิน
7. ต่อขั้วดินเป็นอันดับสุดท้าย
จากนั้นก่อนสตาร์ทเครื่อง ก็ควรตรวจดูความถูกต้องในการต่อขั้วอีกครั้ง
เพื่อความปลอดภัยของรถยนต์และตัวคุณเองครับ
-การต่อพ่วงแบตเตอรี่ฉุกเฉิน
บางครั้งแบตเตอรี่รถยนต์ของเรา หรือรถยนต์คันอื่นๆ เกิดการไฟหมด
อาจจะต้องมีการต่อพ่วงกัน เราจึงจำเป็นจะต้องเรียนรู้การต่อพ่วงอย่าง
ถูกวิธีไว้บ้าง เริ่มจากจอดรถใกล้กันแต่อย่าให้สัมผัสกัน ใช้สายพ่วงที่ใหญ่ แต่ไม่ยาวเกินไป
จากนั้นปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้
1. ต่อขั้วบวก (+) ของสายพ่วงเส้นที่ 1 เข้ากับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่รถยนต์ ลูกที่ไฟหมด
2. ต่อขั้วอีกข้างหนึ่งของสายพ่วงเส้นที่ 1 เข้ากับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่รถยนต์ลูกที่ดี
3. ต่อขั้วลบ (-) ของสายพ่วงเส้นที่ 2 เข้ากับขั้วลบ (-) ของแบตเตอรี่รถยนต์ลูกที่ดี
4. ต่อขั้วอีกข้างหนึ่งของสายพ่วงเส้นที่ 2 เข้ากับโครงรถคันทีแบตเตอรี่รถยนต์ไฟหมด
5. เมื่อสตาร์ทรถยนต์คันที่ไฟหมด ติดแล้ว จึงค่อยถอดสายพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ทวนตามลำดับที่กล่าวมาข้างต้น
-การเก็บแบตเตอรี่รถยนต์อย่างถูกวิธี
การที่คุณจอดรถไว้โดยไม่ได้ใช้งานเกิน 2 สัปดาห์ จะมีผลกับแบตเตอรี่ของคุณแน่นอน
เพราะแบตเตอรี่รถยนต์จะมีการคายประจุไฟออกมาตลอดเวลา ถ้าไม่มีการชาร์จไฟเข้า
แผ่นธาตุภายในจะเสื่อมสภาพ ไม่สามารถเก็บกระแสไฟฟ้าไว้ได้ แต่ถ้าจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้ควรเก็บรักษาแบตเตอรี่รถยนต์
เพื่อให้สามารถนำแบตเตอรี่กลับไปใช้งานได้อีก ตามวิธีดังนี้ คือ
– การเก็บแบตเตอรี่รถยนต์แบบแห้ง (Dry Storage)
เป็นการเก็บแบตเตอรี่รถยนต์ไว้โดยไม่มีสารละลายอยู่ในแบตเตอรี่รถยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเก็บแบตเตอรี่รถยนต์
ที่ผลิตออกมาจากโรงงานใหม่ๆ เมื่อต้องการจะใช้งานก็จะนำแบตเตอรี่ไปเติมสารละลายและประจุไฟฟ้าให้เต็ม
แต่สำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ที่ใช้แล้วมีสารละลายอยู่ภายในแบตเตอรรถยนต์ี่ การเก็บให้ถอดแบตเตอรี่รถยนต์ออกจากรถ
นำไปชาร์จไฟให้เต็มแล้วเทน้ำยาทิ้ง ใช้น้ำกลั่นล้างแล้วเทคว่ำให้แห้ง
เมื่อต้องการจะใช้แบตเตอรี่รถยนต์ก็นำไปเติมน้ำยาและชาร์จไฟใหม่
– การเก็บแบตเตอรี่รถยนต์แบบเปียก (Wet Storage)
แบตเตอรี่รถยนต์ถึงแม้จะชาร์จไฟเต็มแล้ว ถ้าปล่อยทิ้งไว้ก็จะสามารถคายประจุไฟออกมาเอง
ดังนั้นการเก็บแบตเตอรี่รถยนต์ในขณะที่แบตเตอรี่ มีน้ำกรดอยู่ภายใน ควรนำไปประจุไฟทุกๆ 15 วัน
การเก็บแบตเตอรี่รถยนต์แบบนี้ถือว่าเป็นการจัดเก็บแบบชั่วคราว เพื่อลดปัญหาแบตเตอรี่รถยนต์ เสื่อมสภาพ
อย่าลืมเก็บแบตเตอรี่รถยนต์ให้ถูกวิธีนะครับ
-เปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ลูกใหญ่ แอมป์สูงดีหรือไม่
หากแบตเตอรี่หมดสภาพ หรือจำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ และแบตเตอรี่รถยนต์ลูกเดิมมีแอมป์ไม่สูงนัก
ก็ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ให้ลูกใหญ่ขึ้น แอมป์สูงขึ้น ด้วยราคาที่สูงกว่ากันเพียงไม่กี่ร้อยบาท
แต่จะทำให้รถยนต์ของคุณมีกำลังไฟฟ้าสำรองมากขึ้น กำลังไฟฟ้าแรงขึ้น
และทำให้ไดชาร์จทำงานหนักน้อยลง ทำให้ไม่พังง่าย ฉะนั้นเมื่อแบตเตอรี่หมดสภาพหรือ
มีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นควรคำนึงถึงคำถามที่ว่า “เปลี่ยนแบตเตอรีรถยนต์่ลูกใหญ่ แอมป์สูงดีไหม” นี้ด้วย
เพราะเสียเงินเพิ่มไม่กี่ร้อยบาท แต่ได้สิ่งที่คุ้มค่ากว่ากลับคืนมา
-ทำไมแบตเตอรี่รถยนต์หมด
หาก ไดชาร์จปกติ แบตเตอรี่ไม่เสื่อม และไม่มีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มเติมจนกินกระแสไฟฟ้ามากเกินไปแบตเตอรี่ รถยนต์ จะไม่มีการหมดนอกจากในเครื่องยนต์รอบเดินเบาไดชาร์จผลิตไฟฟ้าได้น้อยกว่าการ ใช้อยู่มาก และจอดนิ่งนานหลายชั่วโมง แบตเตอรี่รถยนต์อาจหมดได้ ซึ่งไม่ค่อยพบปัญหานี้ในการใช้งานบนสภาพจราจรปกติ เพราะในการใช้รถยนต์ เมื่อมีการใช้ไฟฟ้าจากหลายอุปกรณ์ เช่น เครื่องยนต์ แอร์ เครื่องเสียง ไฟส่องสว่าง ฯลฯ ก็จะมีไดชาร์จคอยส่งไฟฟ้าที่เหลือจากการใช้คืนกลับเข้าไปสู่แบตเตอรรถยนต์ี่ อยู่ ตลอด หากแบตเตอรี่รถยนต์หมด เพราะไดชาร์จผิดปกติ คือผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอ แต่แบตเตอรี่ ยังไม่หมดสภาพจะมีการดึงไฟฟ้าออกจากแบตเตอรี่รถยนต์ไปใช้เรื่อยๆ ก็แค่ซ่อมแซมระบบไดชาร์จให้เป็นปกติ ใช้เครื่องประจุแบตเตอรี่รถยนต์ให้เต็ม หรือทำให้เครื่องยนต์ติดแล้วให้ไดชาร์จประจุไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่รถยนต์ก็ สามารถ ใช้งานได้ตามปกติ
หลัง จอดรถยนต์ไว้ ถ้าแบตเตอรี่รถยนต์หมดหรือกระแสไฟฟ้าอ่อนลงมากจนไดสตาร์ตหมุนเครื่องยนต์ไม่ ไหว ขณะที่ระบบไดชาร์จและเครื่องยนต์ปกติ แสดงว่าแบตเตอรี่รถยนต์หมดสภาพ ก็ถึงคราวจะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์กันแล้วคราวนี้
การ ดูแล รักษาแบตเตอรี่รถยนต์ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าของรถยนต์ให้ใช้งานได้นานนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่คุณตรวจเช็กระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่รถยนต์ทุกสัปดาห์ โดยเติมน้ำกลั่นให้ปริมาณได้ระดับอยู่เสมอ หากถ้าแบตเตอรี่ของคุณเป็นแบบที่มีผิวด้านข้างใส ก็สามารถส่องดูจากด้านข้างแบตเตอรี่ได้ แต่ถ้าแบตเตอรี่รถยนต์เป็นแบบผิวทึบ หรือมองจากทางด้านข้างของแบตเตอรี่ไม่สะดวก ก็ให้เติมน้ำกลั่นให้ท่วมแถบแผ่นธาตุไว้ประมาณ 1 เซนติเมตร ไม่ควรใช้น้ำกรองหรือใช้น้ำที่ไม่ใช่น้ำกลั่นเติมแบตเตอรี่รถยนต์โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานสั้นลง
-ขั้นตอนการทำความสะอาดแบตเตอรี่รถยนต์
ฟอง ก๊าชที่เกิดจากแบตเตอรี่จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดขี้เกลือที่ขั้ว แบตเตอรี่และสายไฟได้ แต่วิธีทำความสะอาดแบตเตอรี่รถยนต์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แค่ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
ขั้นแรก ใช้แปรงลวดปัดทำความสะอาดด้านบนของแบตเตอรี่รถยนต์ เพื่อขจัดคราบสกปรกในเบื้องต้นก่อน
ขั้นที่สอง ใช้แปรงลวดจุ่มโซเดี่ยมคาร์บอเนต หรือโซดาผง ผสมน้ำ ปัดเพื่อทำความสะอาดแบตเตอรี่รถยนต์
ขั้นที่สาม ล้างโซเดี่ยมคาร์บอเนตออกด้วยน้ำสะอาด แล้วใช้ลูกยางดูดน้ำออกให้หมด
ขั้น ที่สี่ ถอดสายแบตเตอรี่ออกรถยนต์ (ถอดขั้วลบออกก่อน และเมื่อประกอบกลับคืน ให้ใส่ขั้วบวกก่อน เพื่อป้องกันการเกิดประกายไฟ) จากนั้นเช็ดเพื่อเอาคราบน้ำมันและจาระบีออก
-แบตเตอรี่รถยนต์หมดเพราะเปิดไฟหน้าทิ้งไว้
การ เปิดไฟหน้ารถทิ้งไว้หลังดับเครื่องยนต์ ไม่มีผลกับเครื่องยนต์แต่อย่างใด แต่แบตเตอรี่รถยนต์จะถูกดึงกระแสไฟฟ้าไปใช้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีการประจุไฟเข้าแบตเตอรี่จากไดชาร์จเหมือนกับช่วงเวลาที่ติดเครื่อง ยนต์ ทำให้กระแสไฟฟ้าหมดหรือเหลือน้อยจนไม่เพียงพอสำหรับการสตาร์ตเครื่องยนต์ หากรู้ตัวว่าลืมปิดไฟหน้า เมื่อจอดรถยนต์ทิ้งไว้เป็นเวลานาน ไม่ควรรีบสตาร์ตเครื่องยนต์ทันที ควรปิดไฟแล้วรอให้แบตเตอรี่รถยนต์เก็บประจุ ประมาณ 5-10 นาที แล้วจึงทดลองสตาร์ต ถ้าสตาร์ต 2-3 ครั้งแล้วเครื่องยนต์ยังไม่ติด ไม่ควรพยายามสตาร์ตต่อ ที่สำคัญ ไม่ควรบิดกุญแจค้างไว้นานเกินไปในช่วงที่สตาร์ต เพราะอาจ ทำให้ไดสตาร์ตเสียหายได้
-ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับแบตเตอรี่รถยนต์
แบตเตอรี่ เป็นอุปกรณ์ประกอบรถยนต์ที่สำคัญ ทำหน้าที่เก็บกระแสไฟฟ้าสำรอง เมื่อเครื่องยนต์ถูกใช้งาน จะมีการประจุไฟฟ้าเข้า-ออก หมุนเวียนสู่แบตเตอรีรถยนต์่อยู่ตลอดเวลา โดยมีคัตเอาต์ทำหน้าที่ตัดประจุเมื่อไฟฟ้าเต็มแบตเตอรี่ และต่อการประจุเมื่อไฟฟ้าในแบตเตอรี่พร่องลง ปกติแล้ว แบตเตอรี่โดยทั่วไปจะมีอายุการใช้งานประมาณ 1.5-2.5 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา ซึ่งในปัจจุบันมีแบตเตอรี่รถยนต์แบบไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย และแบตเตอรี่แบบแห้ง ซึ่งสะดวกต่อการดูแล มีความทนทาน และมีอายุการใช้งานมากกว่าแบบทั่วไป 3-6 เท่า หรือ 5-10 ปี แต่ก็มีราคาที่สูงกว่าเช่นกัน
-เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ใหม่
1. ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย
2. ไฟหน้าไม่สว่าง
3. ตอนเช้าสตาร์ทติดยาก
4. ใช้งานมานานกว่า 1.5 – 2 ปี
5. กระจกไฟฟ้าอืด
-ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ที่มีกำลังไฟมากขึ้น
ถ้ารถยนต์ของคุณต้องใช้กำลังไฟ เพื่อทำหน้าที่หลายอย่าง
1. เครื่องมือสื่อสาร
2. เปิดแอร์เป็นเวลานานๆ
3. ใช้รถทั้งกลางวัน-กลางคืน
4. มีการเพิ่มปริมาณไฟส่องสว่าง และติดเครื่องเสียงเพิ่ม
5. ใช้รถน้อย หรือใช้รถเฉพาะวันหยุด
6. ใช้รถเฉพาะกลางคืนและเปิดไฟส่องสว่างเป็นเวลานานๆ
ข้อควรจำ
1. หมั่นตรวจดูระดับน้ำกลั่นอย่าให้ต่ำกว่าจุด LOWER LEVEL
2. ขันขั้วแบตเตอรี่รถยนต์ให้แน่น เพื่อให้กระแสไฟเดินสะดวก
3. ทำความสะอาดคราบสกปรก ที่ติดตามขั้วแบตเตอรี่ และพื้นผิวให้สะอาด
ต้นฉบับจาก น.พ. วุฒิกร เจริญลาภ